หน้าแรก

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เทคนิคการปลูกผักในกระสอบ

เนื่องจากบริเวณบ้านที่มีต้นไม้เยอะปลูกผักไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากไม่มีแสงแดด จะมีแสงแดดก็เฉพาะบริเวณใกล้ๆ บ้าน ซึ่งไม่สามารถยกร่องปลูกผักได้ ในเมื่ออยากกินผักที่ปลูกเองก็ต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยการเอาดินใส่กระสอบแล้วเอามาวางในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงแล้วปลูก ดังภาพ
การวางกระสอบแบบตั้งจะได้พื้นที่าถ้าวางกระสอบแบบนอนก็ได้พื้นที่มากกว่า เอาดินใส่กระสอบประมาณ 1/2 กระสอบ มัดปากถุงแล้วผลักให้กระสอบนอนลง ได้พื้นที่มากกว่าจริง แล้วจะปลูกยังไงล่ะคราวนี้  ก็ไปหาประป๋องปลากระป๋องมา แล้วก็จัดการเจาะรูเท่าขนาดประป๋องปลากระป๋อง แล้วหยอดเมล็ดผักลงปลูก
สำหรับคนที่มีพื้นที่จำกัดจริงๆ บ้านเป็นทาวเฮาส์ผมคิดถ้าไปซื้อดินสำหรับปลูกต้นไม้ ซัก 1  ถุง หรือมากกว่าตามที่มีพื้นที่ที่อำนวย หาเมล็ดพันธ์ผักที่ชอบกินมาลองปลูกน่าจะดีไม่น้อย เพราะจะได้กินผักที่ปลูกด้วยฝีมือตัวเอง ที่สำคัญปลอดสารพิษ และช่วยลดรายจ่ายของครอบครัวได้ทางหนึ่ง
คนที่มีเงินก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก มีเงินฉันซื้อเอาก็ได้ แต่คุณก็ซื้อผักแถมสารเคมีตกค้างอยู่ดี ถึงแม้ว่าคุณบอกว่ามีเงินซื้อผักปลอดสารพิษตามห้าง แต่คุณมั่นใจได้อย่างไรว่ามันปลอดสารพิษจริงถ้าคุณไม่ได้ปลูกเอง ที่สำคัญเงินซื้อความสุขจากการได้ปลูก จากการได้เฝ้าดูการเจริญเติบโตของผักไม่ได้ ฝากให้คิดเล็กน้อยครับ
การวางประสอบแบบนอน เหมาะสำหรับการปลูกพวกผักกาด ที่ไม่ลงรากลึกมากนัก
การวางกระสอบแบบตั้ง เหมาะสำหรับการปลูก พริก มะเขือ พืชที่ลงรากยาว

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.bansuanporpeang.com/node/79

วิถีชีวิตเกษตรไทย: ตอน เห็ดโคน ขุมทรัพย์แห่งป่า!!!

 เห็ดโคน ขุมทรัพย์แห่งป่า!!




ป่าเมืองกาญจน์เป็นป่าที่สมบูรณ์ที่สุดก็ว่าได้ เมื่อเป็นป่าที่สมบูรณ์อากาศที่นี้จึงเปลี่ยนแปลงเร็ว โดยเฉพาะฤดูร้อนกลางวันจะร้อนมาก แต่พอตกเวลากลางคืนอากาศเริ่มเปลี่ยนจากร้อนกลายเป็นหนาวเย็น เหมือนฤดูหนาวอย่างไรอย่างนั้น

จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของจังหวัดกาญจนบุรี ทำให้เกิดเห็ดชนิดหนึ่งที่สามารถพบเห็น หรือเก็บมารับประทานได้เพียงปีละครั้ง เห็ดดังกล่าวนี้ชาวบ้านเรียกชื่อว่า เห็ดโคน

เห็ดโคน เป็นเห็ดที่เกิดเองตามธรรมชาติ ไม่สามารถเพาะพันธ์หรือปลูกขึ้นมาเองได้ เห็ดโคนจึงต่างจากเห็ดทั่วไปคือ เป็นเห็ดที่มีคุณสมบัติที่เกิดขึ้นมาปีละครั้ง

การเกิดขึ้นมาปีละครั้งนี้เอง ทำให้มีผู้ที่สนใจนำมาบริโภคมาก ราคาซื้อขายขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 300-350 บาท สำหรับเห็ดตูม ส่วนเห็ดบานราคาตกกิโลกรัมละประมาณ 200-250 บาท



เห็ดโคน” เมืองกาญจน์นั้น จะแตกต่างจาก เห็ดโคน” ที่อื่น คือ ถ้าเป็นเห็ดโคนเมืองกาญจน์ จะมีคุณค่าทางอาหารมากกว่า  เพราะพื้นที่ของดินเมืองกาญจน์จะมีแร่ธาตุเหล็กมาก เห็ดเมืองกาญจน์จะมีรสหวานกรอบอร่อยกว่าเห็ดโคนจังหวัดอื่นๆ

นอกจากนี้ 
เห็ดโคนเมืองกาญจน์ยังมีสรรพคุณช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิด แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ การนำเห็ดโคนไปทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่า น้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไทฟอยด์  เห็ดโคนจึงเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก   

การรับประทาน
เห็ดโคน ให้อร่อยหลังทำความสะอาดเสร็จ เราปรุงเห็ดง่ายเพียงใส่น้ำและเกลือลงไป ตั้งไฟให้เดือดเพียงเท่านี้ ท่านก็จะได้น้ำต้มเห็ดรสหวานตามธรรมชาติ (ชาวบ้านเรียกว่า ต้มเห็ดเปรี้ยว)



เห็ดโคน” สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายชนิด เพราะเห็ดโคนเป็นที่มีรสชาติที่น่ารับประทาน แถมยังเป็นเห็ดหายากมักขึ้นอยู่ตามป่าเขา และที่สำคัญที่สุดก็คือ “เห็ดโคน” จะเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น

เห็ดโคนมักจะเกิดขึ้นบริเวณดินปลวก ที่มีการทับถมของวัชพืชตามป่าเขาเป็นส่วนใหญ่ เป็นเห็ดป่าเติบโตได้ดีในสภาพธรรมชาติความชื้น และอุณหภูมิที่พอเหมาะ  มีรูปร่างเหมือนเห็ดทั่วไป คือ มีก้านเห็ดและหมวกเห็ด ดอกใหญ่ โคนอวบหนา มีกลิ่นเฉพาะตัว

มักเกิดตามพื้นที่บริเวณจอมปลวก ภายหลังแมลงเม่าอพยพออกจากรังปลวก มีการอพยพของปลวกที่เราเรียกว่า แมลงเม่าอพยพออกจากรังปลวกเดิมเพื่อสร้างรังใหม่ และเมื่อฝนตกชุกจนมีความชุ่มชื้นเหมาะสม บวกกับสภาพอากาศจึงทำให้เกิดตุ่มดอกเห็ดเล็กๆ เจริญเติบโตจนกลายเป็นเห็ดโคนที่ลือชื่อ


และจากราคาที่แพง ทำให้ชาวบ้านในจังหวัดกาญจนบุรี มีรายได้เสริมอีกอาชีพหนึ่งซึ่งเป็นรายได้ที่ดีและคุ้มค่า เห็ดโคนเมืองกาญจน์ มักจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนตุลาคม-ต้นเดือนมกราคมของทุกปี 



ท่านที่ต้องการเก็บเห็ดโคนเอาไว้กิน ในช่วงที่เห็ดโคนหมดฤดู  วิธีทำก็คือ ประการแรกนำเห็ดโคนมาปอก ขูดเอาดินที่ติดอยู่ออกให้หมด แล้วนำไปล้างน้ำทำความสะอาด















ต่อจากนั้นนำไปต้มใส่เกลือพอประมาณหลังจากต้มสุกเป็นที่เรียบร้อย ให้นำภาชนะที่เตรียมไว้ซึ่งเป็นโหล ซึ่งต้องทำความสะอาดโดยนำโหลไปต้มน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ที่ปนเปื้อนมากับโหลออกให้หมดเสียก่อน



หลังจากทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นำเอาเห็ดโคนที่ต้มเสร็จมาเทลงภาชนะที่เตรียมไว้แล้วปิดฝาให้มิดชิด เก็บไว้รับประทานได้ตลอดทั้งปี








ต้นไม้กันยุง มอสซี่ บัสเตอร์ (MOZZIE BUSTER)

ต้นไม้กันยุง มอสซี่ บัสเตอร์ (MOZZIE BUSTER)


มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster)

มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster) ชื่อวิทยาศาสตร์ Pelargonium citrosum เป็นพืชที่ถูกพัฒนาขึ้น ด้วยวิธีการทางพันธุ์วิศวกรรม โดยนักพืชสวน ชาวดัทช์  Dirk van Leenen ใช้พันธุ์ไม้ 2 ตระกูล คือ อาฟริกัน เจอราเนียม (African Geranium) และตะไคร้หอม (Citronella)
ลักษณะของ มอสซี่ บัสเตอร์ เป็นไม้พุ่ม ใบแตกออกจากทั้งตายอดและตาข้าง ขอบใบหยัก คล้ายกับต้นเจอราเนียม แต่มีกลิ่นแบบตะไคร้หอม ทำให้มีคุณสมบัติในการไล่ยุง(แบบ repellent) และประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับขนาดของต้น และพื้นที่ในการงาน เช่นต้นไม้กันยุง อายุประมาณ 2 เดือน จะมีความสูงจากผิวดินประมาณ 6 นิ้ว กลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกมาจากต้นไม้จะสามารถไล่ยุงได้ในพื้นที่ประมาณ 100 ตารางฟุต เป็นต้น
การใช้งาน ในต้นไม้กันยุงจะมีสารอยู่สองชนิด คือ สารที่มีคุณสมบัติเป็นสารดึงดูดยุง(attractant) และสารไล่ยุง(repellent) ต้นไม้กันยุงที่ยังเล็กจะมีสารดึงดูดยุงมากกว่าสารไล่ยุง จึงควรปลูกไว้ไกลๆบ้านเพื่อล่อยุงไม่ให้เข้ามาในบ้าน แต่เมื่อต้นไม้กันยุงโตขึ้นพอสมควร สารดึงดูดยุงจะค่อยๆลดปริมาณลง(สังเกตโดยใช้วิธีดมดูว่ามีกลิ่นตะไคร้หอมหรือไม่) จนสารไล่ยุงสามารถแสดงคุณสมบัติได้เต็มที่ แล้วค่อยย้ายมาปลูกในกระถาง แล้วนำมาตั้งไว้ในบริเวณที่ไม่ต้องการให้ยุงเข้ามารบกวน
การดูแลรักษา มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster) จะเหมือนกับการดูแลรักษาต้นไม้ประดับที่ปลูกในกระถางทั่วไป คือ ช่วงตอนเช้า รดน้ำวันละครั้ง ก่อนนำต้นไม้ไปไว้ในที่มีแสงแดดส่องถึง และมีอากาศถ่ายเทสะดวก ทิ้งไว้ทั้งวัน ถึงเวลาตอนเย็นก็สามารถนำมาใช้งานได้ตามปกติ การใส่ปุ๋ย ควรใส่เดือนละครั้ง ใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 (สูตรเสมอ) โดยใส่ครั้งละครึ่งช้อนชา หรือประมาณ 15 เม็ด โรยรอบๆขอบกระถาง แล้วรดน้ำตามปกติ (*ถ้าพบว่าใบของต้นไม้กันยุงมีสีเหลืองแห้ง หรือเหี่ยวลง ควรเล็มใบนั้นออก เพื่อให้เกิดใบใหม่งอกขึ้นมาแทน)
มอสซี่ บัสเตอร์ มีการใช้อย่างแพร่หลายในหลายๆประเทศ เช่น ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เยอรมัน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ไต้หวัน, มาเลเซีย เนื่องจากความปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์เลี้ยง และสิ่งแวดล้อม ทำให้รัฐบาลของหลายๆประเทศ มีการส่งเสริมให้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น
ต้นไม้กันยุงมีขายที่ไหน? ต้นไม้กันยุง มอสซี่ บัสเตอร์ (Mozzie Buster) จัดเป็นพันธุ์ไม้ที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ เหมือนกับไม้ดอกไม้ประดับทั่วๆไป สามารถหาซื้อได้ตามร้านหรือสถานที่ขายพันธุ์ไม้ทั่วไป ราคาของต้น มอสซี่ บัสเตอร์ ขึ้นอยู่กับความสูง และขนาดของพุ่ม เช่น ต้นสูงไม่เกิน 1 ฟุต ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 80-100 บาท จังหวัดเชียงใหม่หาซื้อได้ที่ตลาดคำเที่ยง ถ้าในกรุงเทพฯหาซื้อได้ที่สวนจตุจักร

----ไข่มดแดง--

เลี้ยงมดแดงอย่างไรให้ได้ไข่เยอะ   

ดอร์เมาส์ กระรอกจิ๋ว เลียนเสียงจิ้งหรีด เพื่อเรียกคู่


ดอร์เมาส์ กระรอกจิ๋ว
ในช่วงต้นปี’ 50 ตลาดนัดสวนจตุจักร โซนสัตว์เลี้ยง เริ่มมี “กระรอกจิ๋ว” มาให้ยลโฉมประปราย ซึ่งขณะนั้นยังไม่ค่อยมีใครรู้จักกันมากนัก…
ดอร์เมาส์” (dormouse)  มีมากกว่า 20 สายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์จัดแยกออก จากกลุ่มหนู พบเห็นได้ทั้งใน ญี่ปุ่น ยุโรป และ แอฟริกา แต่ละชนิดมีถิ่นที่อยู่ สีสัน ขนาดแตกต่างกันไป มีความเหมือนตรง ลักษณะรูปร่าง และนิสัยที่คล้ายกระรอก โดยสายพันธุ์นิยมเลี้ยงมาก คือ “ปิ๊กมี่ ดอร์เมาส์” (Afri can pygmy dormouse)  ส่วนหนึ่งเป็น เพราะขนาดเล็กที่สุด จนได้ฉายาว่า “กระรอกจิ๋ว”
ทั้งนี้ ลักษณะโดยทั่วไป ของมันคือ ขน ด้านบนตัวเป็นสีเทาอ่อน ท้อง สีขาวครีม เมื่ออายุมากขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวก็ตรงที่ “หางฟู” สามารถวัดขนาดความยาวได้เท่ากับลำตัว ส่วน พฤติกรรมจัดเป็นสัตว์กลางคืน แต่ในบางครั้งก็อาจหากินได้ทั้งวัน ซึ่งอาหารจะเป็นชนิดเดียวกับสัตว์ฟันแทะทั่วไป
และ…ถ้าเอามาเลี้ยงสามารถให้อาหารเม็ดสำหรับหนูแฮมสเตอร์ อาหารแมวไขมันต่ำ อาหารนกเขา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ควร เสริมด้วยผลไม้สด ผลไม้ แห้ง นมอัดเม็ด โยเกิร์ต ผักสด จิ้งหรีด หนอนนก และ ขนมปัง สลับสับเปลี่ยนกันไป
ตัวจิ๋ว” เป็นสัตว์ สังคมชอบอยู่รวมกันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม สถานที่เลี้ยงต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 24 ํC สามารถเลี้ยงได้ในตู้ปลาขนาด 20 นิ้ว โดยใส่วัสดุรองพื้น อาทิ กระดาษฝอย ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด หรือ ทรายสำเร็จรูป ให้สูงประมาณ 2 นิ้ว และควรใส่หญ้าแห้ง เศษผ้า หรือเศษไหมพรมไว้ให้มันคาบไปรองรังนอน
ตามด้วยกิ่งไม้แห้ง เชือก โพรงไม้ เพื่อให้พวกมันปีนป่ายแก้ “เซ็ง” ที่สำคัญ ควรหาบ้านไม้สำเร็จรูป หรือ กระถางดินเผา เล็กๆ ให้มันเข้าหลบซ่อนในเวลากลางวัน เพื่อช่วยลดความเครียด ถ้าหากอากาศเริ่มเย็น “เจ้าหางฟู” จะหาโพรงไม้ รังนกเก่า เพื่อเข้าไป “จำศีล” ตลอดช่วงฤดูหนาว แต่พอมาอยู่ในบ้านเรามันก็มีอาการ “ศีลแตก” ได้ เพราะที่นี่อาหารมีความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งความเย็นยังไม่มากเท่ากับบ้านเกิดของมันนั่นเอง…
ดอร์เมาส์ เมื่อโตเต็มวัยซึ่งอยู่ในช่วงราว 6 เดือน วัดขนาดได้ประมาณ 3-4 นิ้ว น้ำหนัก 25-30 กรัม ควร แยกตัวผู้ออกเพราะ “เจ้าหนุ่ม” จะเริ่มทะเลาะกันเองเพื่อแย่งคู่ครอง เราสามารถสังเกตได้จากเสียงร้อง “คริกๆ” คล้ายจิ้งหรีด ฉะนั้น เพื่อไม่เป็นการ “ทำร้ายกันทางธรรมชาติ” มากนัก ควรจัดให้อยู่เป็นคู่ ซึ่งอัตราที่เหมาะสมคือ ตัวผู้ 1 ตัว/ตัวเมีย 2 ตัว หลังผ่านเวลา “สปาร์ก” “สาวเจ้า” จะใช้เวลาตั้งท้องราว 25-30 วัน จึงตกลูกครอกหนึ่งมีตั้งแต่ 2-10 ตัว ช่วงนี้ควรให้สมาชิกใหม่อยู่กินนมแม่อย่างน้อย 18-20 วัน ซึ่งจะทำให้อัตราการ รอดสูง…



สื่อการสอน---ข้าวไม่ธรรมดา

สื่อการสอน---เกษตรยั่งยืน









บทความข่าวเกษตร : ม่วงเทพรัตน์ (EXACUM AFFINE BALF.F. EX REGEL PERSIAN VIOLET)


ม่วงเทพรัตน์

โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้ขอพระราชทานชื่อ exacum เป็นชื่อสามัญไทย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระราชทานนามว่า ม่วงเทพรัตน์” ในวันที่ 29 กันยายน 2552



ดอกไม้งาม ม่วงเทพรัตน์
ดร.ปิยรัษฎ์ เจริญทรัพย์
เมื่อวันที่ 27 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 ทางโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ได้รับพระราชทานเนื้อเยื่อพันธุ์พืชต่าง ๆ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้ขยายพันธุ์และเก็บรักษาพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต่อไปตามศักยภาพ ซึ่งเนื้อเยื่อพืชเหล่านี้เป็นพืชที่ได้จาก การทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ทรงเปิดงานนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ในพืชหลาย ๆ ชนิดนั้นพบว่ามีพืชชนิดหนึ่งที่สามารถขยายพันธุ์ต่อได้ดีและสามารถออกดอกในสภาพเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้สม่ำเสมอคือ Exacum affine Balf.f. ex Regel หรือ Persian Violet โดยที่Exacum affine เป็นไม้ล้มลุก ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นของเกาะ Socotra อยู่ในหมู่เกาะ Yemen ในมหาสมุทธอินเดีย ใบมีสีเขียวเข้ม รูปไข่ ยาว ไม่เกิน 4 ซม. ความสูงในสภาพธรรมชาติประมาณ 60 ซม. โดยทั่วไปจะออกดอกในช่วงหน้าร้อนและฤดูใบไม้ผลิ ดอกมีสีม่วงอมฟ้า รูปร่างของดอกเมื่อบานเต็มที่แล้วมีทรงคล้ายดาว มีเกสรตัวผู้สีเหลืองสามารถเห็นได้ชัดเจน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
ทาง อพ.สธ. จึงเห็นศักยภาพในการผลิตพืชชนิดนี้เพื่อเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่สามารถออกดอก ได้แม้อยู่ในภาพเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจึงได้จัดทำโครงการผลิตและจำหน่าย exacum เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระชนมายุ 55 พรรษา เป้าหมายในการจัดจำหน่าย คือ 155,555 ขวด ในราคาขวดละ 155 บาท และนำรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เพื่อเป็นทุนในการก่อตั้งมูลนิธิอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขณะนี้ทางโครงการ อพ.สธ. ได้เพาะเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ที่ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงนื้อเยื่อพืช สวนจิตรลดา กทม. และที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ คลองไผ่ ลำตะคอง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีม
ทาง อพ.สธ. จึงได้ขอพระราชทานชื่อ exacum จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นให้เป็นที่เรียกขานเป็นชื่อสามัญเป็นภาษาไทย และทรงพระราชทานนามว่า “ม่วงเทพรัตน์” มาในวันที่ 29 กันยายน 2552 ซึ่งต้นม่วงเทพรัตน์นั้นสามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและออกดอกในขวดสวยงาม และเมื่อมีผู้ซื้อไป ผู้ซื้อสามารถนำไปออกปลูกในสภาพธรรมชาติเพื่อเป็นไม้ประดับต่อไป พันธุกรรมพืช” อันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ต่อไป
การนำม่วงเทพรัตน์ออกปลูก

ความหมายของคำว่า"เทคโนโลยีทางการเกษตร"

เทคโนโลยีทางการเกษตร


หมายถึง วิทยาการที่เกี่ยวข้องกับศิลปะในการนำเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ในด้านการเกษตร 
ได้แก่ 
1. ด้านการจัดการสาขาพืชและการจัดการสาขาสัตว์การจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
 2. การจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้แก่เกษตรกร 
3. การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เกษตรกร 
4. การให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางด้านการเกษตร
 5. การศึกษา วิจัย ค้นคว้า และทดลอง 
. การวางแผนการดำเนินงาน และการจัดการ